วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ความล้มเหลว บทเรียนไปสู่ความสำเร็จ




ช่วงปลายปีแบบนี้ ผมมักจะได้รับคำบ่น และคำปรับทุกข์จากทั้งเพื่อนๆ และน้องๆ สิ่งที่มักจะบ่นมากก็คือ จะจบไปอีกปีนึงแล้ว แต่ทำไมรู้สึกชีวิตไม่ก้าวหน้าเลย บางคนก็บ่นว่า ปีนี้ทั้งปีมีแต่ความล้มเหลว ไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้เลย ส่วนใหญ่ที่บ่นมักจะเป็นคำบ่นที่ไปในลักษณะที่หมดกำลังใจ ท้อแท้

ผมอยากบอกว่า ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้โดยที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อนนะครับ อันนี้เป็นเรื่องจริงเลยครับ และผมก็เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ล้วนแต่ต้องเคยล้มมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่เราไม่เอาความล้มเหลวนั้นมาบั่นทอนกำลังใจของเราเอง แต่เราจะเอาความล้มเหลวนั้นมาเป็นแรงผลักดันเพื่อให้เราไม่กลับมาล้มเหลวซ้ำในสิ่งที่เราเคยล้มไปแล้ว

บุคคลที่เรารู้จักในโลกนี้ ล้วนก็แล้วแต่เคยล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น ลองดูจากชื่อต่อไปนี้ก็ได้ครับ

- โทมัส เอดิสัน คนนี้จะเป็นกรณีที่คลาสสิคมาก เพราะเขาพยายามประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าให้ได้ และก็ล้มเหลวเป็นพันๆ ครั้ง อีกทั้งก็ยังมีคนมาปรามาสว่าไม่มีทางสำเร็จ แต่เขาก็ทำสำเร็จได้ โดยที่ใช้คำพูดปลอบใจตัวเองว่า เขาไม่ได้ล้มเหลวเลย เขาได้ค้นพบวิธีที่ไม่สามารถทำหลอดไฟได้มากขึ้น และจะได้รู้ว่าวิธีเหล่านี้ไม่ได้ผล ก็จะได้พยายามหาวิธีอื่นจนทำได้สำเร็จ เชื่อหรือไม่ว่า ตอนเขาเด็กๆ คุณครูบอกกับแม่ของเขาว่า เขาเป็นเด็กที่โง่เกินกว่าที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง แถมตอนทำงานก็โดนไล่ออกจากงานถึงสองบริษัท แต่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ และมีชื่อเสียงระดับโลก

- มารีรีน มอนโร ที่เป็นดาราสาวสวยระดับโลก ก่อนจะโด่งดัง ก็ถูก producer คนหนึ่งในขณะนี้ วิจารณ์ว่า เธอไม่มีความสามารถในด้านการแสดง และไม่มีเสน่ห์มากพอ แต่เป็นไงครับ ถ้าเรามัวแต่ยึดเอาคำวิจารณ์ของคนอื่นมาใส่ใจ ผมว่าตอนนี้เราก็คงไม่รู้จัก มารีรีน มอนโร

- เจเค โรวลิ่ง ผู้เขียนหนังสือพ่อมด เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ก็ถูกสำนักพิมพ์เกือบทุกที่ปฏิเสธงานเขียนของเธอ อีกทั้งเธอยังต้องเลี้ยงชีพ และเลี้ยงลูกน้อยด้วยเงินสวัสดิการจากรัฐเท่านั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่น เธอไม่ท้อถอย ยังคงเขียนเรื่องของแฮรี่ พอตเตอร์เล่มแล้วเล่มเล่า จนกระทั่งปัจจุบันนี้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีของโลกไปอีกคนหนึ่ง

- โซอิจิโร ฮอนด้า คนนี้ไปสมัครงานที่บริษัทโตโยต้า แต่ถูกปฏิเสธ เพราะไม่เก่งพอ แล้วสุดท้ายก็เปิดบริษัทรถยนต์ของตัวเองได้ จนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของโตโยต้าไปในที่สุด

- บิล เกต นี่ก็เป็นอีกคนที่เรียนไม่จบระดับปริญญาตรี จนหลายๆ คนมองว่าเป็นคนที่ล้มเหลวแน่นอนสำหรับอนาคตของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่สุดท้ายก็หลายเป็นพ่อมดทางด้านคอมพิวเตอร์ และเป็นถึงมหาเศรษฐีของโลกอีกด้วย

- สตีฟ จ๊อบส์ คนนี้ก็ทำให้โลกทึ่งมาแล้ว ด้วยการเรียนไม่จบระดับปริญญาตรีอีกเช่นกัน พอตั้งบริษัทได้สักพัก กลับถูกผู้ถือหุ้นไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองก่อตั้ง แต่สุดท้ายด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ เขาก็กลับมาบริหารบริษัทที่เขาก่อตั้งมากับมืออีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับไอเดียสุดบรรเจิดหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ ipod iphone ipad ฯลฯ

- ครีส การ์ดเนอร์ คนนี้ที่ฮอลีวู้ดด์ เอาประวัติเขามาทำเป็นหนังในชื่อว่า Pursuit of happyness อดีตก็เป็นเซลล์แมนที่ขายของไม่ได้เลย เมียทิ้ง ต้องพาลูกตัวเองไปนอนในห้องน้ำของสถานีรถไฟใต้ดินบ้าง นอนในที่พักสำหรับคนจรจัดบ้าง ปัจจุบันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่ำรวย และมีธุรกิจค้าหุ้นเป็นของตัวเอง


จริงๆ ยังมีอีกหลายคนที่ล้มเหลว แต่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ สิ่งที่บุคคลเหล่านี้มีก็คือ จิตใจที่มุ่งมั่นต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิตของตนเอง ล้มได้หลายครั้ง แต่ล้มแล้วลุกขึ้นมาด้วยจิตใจที่หึกเหิมทุกครั้ง พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ เพื่อให้ชีวิตประสบความสำเร็จให้ได้

ดังนั้นการที่เราล้มบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง มันก็เป็นหนทางของชีวิตเรา เป็นบททดสอบความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจของเราเอง ล้มได้ แต่ขอให้ลุกขึ้น และสู้ต่อไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น และเอาความล้มเหลวนั้นเป็นบทเรียนให้เราก้าวเดินไปสู่เป้าหมายของเราต่อไปครับ 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hrman&month=12-2010&date=14&group=3&gblog=30

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

Our King .ในหลวงของเรา <อ่านแล้วน้ำตาไหล>

บทความในหลวงของเรา
ในหนังสือว่า...หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่าเสร็จสิ้นลงแล้ว
ราชเลขาฯของสมเด็จย่ามาแถลงในที่ประชุมต่อหน้าสื่อมวลชนว่า
ก่อนสมเด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93
ในหลวงเสด็จจากวังสวนจิตรไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
ไปทำไม?   ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่ ไปทำให้แม่ชุ่มชื่นหัวใจ
ในหลวงของเราเสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่ สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหม?

5 วัน
มีใครบ้าง? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
หายาก...
ในหลวงมีโครงการเป็นร้อยเป็นพันโครงการ มีเวลาไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง
ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ บอกว่างานยุ่ง แม่บอกว่าให้พาไปกินข้าวหน่อย
บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ
ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ในหลวงต้องเข้าไปกราบที่ตัก
แล้วสมเด็จย่าก็จะดึงตัวในหลวงเข้ามากอด กอดเสร็จก็หอมแก้ม
ตอนสมเด็จย่าหอมแก้มในหลวง เราคิดว่าแก้มในหลวงคงไม่หอมเท่าไร
เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม
แต่ทำไมสมเด็จย่าหอมแล้วชื่นใจ
เพราะท่านได้กลิ่นหอมจากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู
ไม่นึกเลยว่าลูกคนนี้จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือสมเด็จย่าไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดาสามัญชน
เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์เหมือนเด็กหญิงทั่วไป
เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงน่ะ...เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์
เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว แต่ในหลวงที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ก้มลงกราบคนธรรมดา...ที่เป็นแม่
หัวใจลูกที่เคารพแม่ กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว
คนบางคน พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่ เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ

เป็นชาวนา เป็นลูกจ้าง ไม่เคารพแม่ ดูถูกแม่ แต่นี่ในหลวงเทิดแม่ไว้เหนือหัว
นี่แหละครับความหอม
นี่คือเหตุที่สมเด็จย่าหอมแก้มในหลวงทุกครั้ง ท่านหอมความดี หอมคุณธรรม
หอมความกตัญญูของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้วก็ร่วมโต๊ะเสวย
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่จำได้แม่น สมเด็จย่าเล่าว่า
ตอนเรียนหนังสือที่สวิส ในหลวงยังเล็กอยู่ เข้ามาบอกว่า อยากได้รถจักรยาน เพื่อนๆ
เขามีจักรยานกัน แม่บอกว่า ลูกอยากได้จักรยาน
ลูกก็เก็บสตางค์ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้สิ
เก็บมาหยอดกระปุกวันละเหรียญ สองเหรียญ พอได้มากพอ ก็เอาไปซื้อจักรยาน
พอถึงวันปีใหม่ สมเด็จย่าก็บอกว่า 'ปีใหม่แล้ว เราไปซื้อจักรยานกัน
เอากระปุก...ดูซิว่ามีเงินเท่าไร?'
เสร็จแล้วสมเด็จย่าก็แถมให้ ส่วนที่แถมนะ มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก
มีเมตตาให้เงินลูก ให้ไม่ได้ให้เปล่า สอนลูกด้วย สอนให้ประหยัด
สอนว่าอยากได้อะไร ต้องเริ่มจากตัวเรา
คำสอนนั้นติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้
เขาบอกว่าในสวนจิตรฯเนี่ย...คนที่ประหยัดที่สุดคือในหลวง
...คราวหนึ่งในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน
แต่อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงเปิดประตู แอ๊ด...ออกมา
พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวงพอเห็นแม่
รีบออกจากห้องมาแย่งพยาบาลเข็นรถ
มหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวงมีรับสั่งว่าแม่ของเรา ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น เราเข็นเองได้
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นกษัตริย์ ยังมาเดินเข็นรถให้แม่
ยังมาป้อนข้าว ป้อนน้ำให้แม่ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่ เลี้ยงหัวใจแม่
ยอดเยี่ยมจริงๆ เห็นภาพนี้แล้วซาบซึ้ง...
...ในหลวงเฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน จับมือแม่
กอดแม่ ปรนนิบัติแม่ จนกระทั่ง 'แม่หลับ...' จึงเสด็จกลับ
พอไปถึงวัง เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์
ในหลวงรีบเสด็จกลับไปศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง
ในหลวงตรงเข้าไปคุกเข่า กราบลงที่หน้าอกแม่
พระพักตร์ในหลวงตรงกับหัวใจแม่
'ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย'
ซบหน้านิ่งอยู่นาน แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง
ต่อไปนี้....จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว
เอามือกุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆ ที่ไกวเปลนี้แหละ
ที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์
เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง
ชีวิตลูก แม่ปั้น
มองเห็นหวี ปักอยู่ที่ผมแม่ ในหลวงจับหวี ค่อยๆ หวีผมให้แม่
หวี...หวี...หวี...หวี ให้แม่สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่ ให้แม่สวยที่สุด
ในวันสุดท้ายของแม่...
เป็นภาพที่ประทับใจเราที่สุด...เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว
อ่านแล้วสะท้อนให้เห็นเลยว่า เราอย่าลืมพ่อ แม่ของเรา ควรให้เวลากับท่านบ้าง
ถึงแม้ว่าในหลวงจะมีโครงการมากมาย แต่ท่านไม่เคยลืมสมเด็จย่า
เด็กๆเดี๋ยวนี้ควรเอาเป็นตัวอย่างนะคะ 
อยากให้ทุกคนช่วยส่งต่อความดี
ขอขอบคุณข้อมูลhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=232354

การให้คือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่









 อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย '       เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน
ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

    ' อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ '

    ' ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ '
ป้าคนนั้นชื่อว่า ' ป้าหนอม ' เป็นแม่ค้าขายของชำ
สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ
จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ
มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม

' พี่หนอม มีไรหรอคะ '

' ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย '
 
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
 
' ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ '
 
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
 
' เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ '

ฉั นสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ
ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
 
' อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา
แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ '

ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา
แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
 
' ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ '

แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแ ล้วก็ถามว่า ' ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ '
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า ' แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง... '
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า ' ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย '
แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที
' ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันเหรอจ้ะ '
แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า ' ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง '
' แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่่แม่ ' ฉันถามต่อ   แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
 
' แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก
จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท
ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี
ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น '

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
 
' แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า '
 
' ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

' แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน
บ้านป้าหนอมเขานะแม่ '

' ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน
ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก '

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

' จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน
อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ
รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ '

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

' ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง
คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ '

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้ี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก
ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้านแต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หาย     หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆจะได้หายเร็วๆ
 
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า
โรงพยาบาลต่างจังหวัด

  หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที
ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ
เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง
ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า
โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก
ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
 
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ
อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ
ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด
จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
ค่อนข้างสูง   เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
 
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

  หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด
ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล
บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

  ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า
เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
 
ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า
คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัว
ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่

โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
 
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น

เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน


 


เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
 
      ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร   ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
        ค่าผ่าตัด                           0 บาท
        ค่ายาทั้งหมด                       0 บาท
        ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ                 0 บาท
        รวมเป็นเงินทั้งหมด                 0 บาท
  ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
  ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
 
                              นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร



ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความ

และเพื่อนๆที่ FW Mail ดีๆมาให้

ที่ลืมไม่ได้ขอบคุณท่านที่อ่านจนจบ

และขอบคุณมากๆที่เผยแพร่ต่อไป

ขอบคุณจริงๆ

ทหารไทย ทหารชาติเดียวที่ทหารอเมริกาและเวียดนามกลัว


ใน สงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน "ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า 
1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน 
2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้ 
3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว 

4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ........ทหารไทย 

ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกอง กำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้ายและการทารุณเชลยโดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตานามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมงทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพและบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุสดุดีวีรกรรมของทหารไทย ครั้งนี้ 1 อาทิตย์ต่อมาผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนามยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน

เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทยที่ปกปัก รักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้เรื่องราวเหล่าแด่ท่านผู้ชนะเหล่าชนเสือ พรานไทยนักรบชุดดำ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://men.postjung.com/645182.html

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

10 สัญญาณสุดแฮปปี้ บ่งบอกว่าความรักของเรายังดีอยู่

กว่าจะพบใครสักคนที่สามารถเป็นคู่ชีวิตกับเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อได้พบเจอกับคน ๆ นั้นแล้ว นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งเลยทีเดียว บางคนอาจจะลงเอยด้วยการแต่งงาน แต่สำหรับบางคนที่ยังรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ สับสน อาจเพราะยังรู้สึกไม่มั่นใจกับความรัก...ว่ามันยังคงดีอยู่หรือเปล่า และอยากจะรู้ว่าความสัมพันธ์ที่ดีควรจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าอย่างนั้นลองเปรียบเทียบข้อความต่อไปนี้กับความรักของคุณดูนะคะ ว่าตรงกันบ้างหรือเปล่า 

          1. สิ่งสำคัญที่ 4 ประการที่คู่รักควรให้แก่กัน ก็คือ การให้เกียรติ ความเมตตา การใส่ใจดูแล และความรัก หากความสัมพันธ์ของพวกคุณมีสิ่งสำคัญที่ว่ามาครบทุกประการ คุณก็สบายใจได้เปราะหนึ่งแล้วว่า อย่างน้อยความรักของคุณยังดีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

          2. คุณทั้งคู่ต่างรู้ใจกันว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร นอกจากนี้ คุณทั้งคู่ยังสามารถเปิดใจยอมรับข้อดีข้อเสียของอีกฝ่าย และคอยเป็นที่ปรึกษา ให้กำลังใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ก็ไม่มีเรื่องใด ๆ ที่คุณต้องกังวลแล้วล่ะ

          3. ความรักที่ดีต้องประกอบด้วยความเชื่อใจและความซื่อสัตย์เสมอ ฉะนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามปกปิดตัวตนและความรู้สึก อย่างเช่น ความชอบ เรื่องส่วนตัว และไม่ยอมเปิดเผยสถานะความสัมพันธ์ที่แท้จริงออกมา แสดงว่าความรักของพวกคุณเริ่มมีส่อเค้าไม่ดีแล้วล่ะ แต่ในทางตรงกันข้าม หากพวกคุณให้ความเชื่อใจ ซื่อสัตย์ต่อกันเสมอมา และคบหากันอย่างเปิดเผยก็ไม่มีอะไรที่คุณต้องคิดมากเลย 

          4. ต่างฝ่ายต่างสามารถเปิดเผยทุกความรู้สึกของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย และสามารถบอกเล่าทุกความรู้สึกจากส่วนลึก ทั้งเรื่องสุขเรื่องทุกข์ รวมทั้งความเศร้า ความเสียใจ ความกลัว และเรื่องอื่น ๆ ออกมาได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปกปิดความรู้สึกที่แท้จริง หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่ควรระวังตัวเอาไว้ เพราะความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงในเร็ว ๆ นี้

          5. คนรักและตัวเองคุณเองต่างยอมรับ และเต็มใจฟังทุกเรื่องราวของอีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไข อีกทั้งพร้อมที่จะให้อภัยเมื่ออีกฝ่ายทำผิด

          6. ต่างฝ่ายต่างมีพื้นที่และเวลาส่วนตัวให้กับตัวเองได้ทำสิ่งที่ชอบ พร้อมกับการรักษาความสัมพันธ์อื่น ๆ เอาไว้ได้ อย่างเช่น ความสัมพันธ์ของครอบครัว และเพื่อน ๆ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนไร้ตัวตนสำหรับพวกคุณ

          7. คนรักกันไม่จำเป็นต้องพูดออกมาทุกอย่าง เพราะเรื่องบางเรื่องสามารถรับรู้ความต้องการได้ จากการส่งความคิดผ่านความรู้สึก และคู่รักที่ดีไม่เคยตัดสินหรือบังคับความรู้สึกนึกคิด และทำให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจเลยแม้แต่นิดเดียว

          8. ต่างฝ่ายต่างให้ความเคารพและไม่ก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายอนุญาตให้คุณทำได้ อย่างเช่น การเช็กโทรศัพท์มือถือ ดูข้อความในเฟซบุ๊ก อีเมล และอื่น ๆ

          9. คู่รักที่ดีจะให้ความสำคัญกับคนรักเป็นอันดันต้น ๆ และสามารถแบ่งเวลาของตัวเองให้กับคนรักได้เสมอ แม้ว่าตัวเองจะยุ่งวุ่นวายเพียงใด ก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ของคนรักเลย

          10. สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับความรักที่ดี ก็คือ การแสดงความรักต่อกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูดหรือการกระทำก็ตาม อย่างเช่น การบอกรัก การสวมกอด การมองตา หรืออื่น ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าความรักยังคงดีอยู่และจะไม่เปลี่ยนแปลง

          ถ้าตอนนี้คุณตอบคำถามมาครบทุกข้อแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่มั่นใจกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกคุณต้องคุยกันจริง ๆ จัง ๆ สักทีว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพราะคงไม่มีใครตอบได้ดีเท่าพวกคุณอีกแล้ว หากผลที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คุณหวัง ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ เอาเวลาที่เหลือไปดูแลตัวเองและรอคนที่ใช่สำหรับคุณจริง ๆ ดีกว่า
ขอขอบคุณขอมูลจากhttp://wedding.kapook.com/view52082.html